วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

พบ “เต่ากระ” เพศเมียขนาดใหญ่ขึ้นที่หาดบางสะพาน คาดอาจขึ้นมาดูทำเลวางไข่

ประจวบคีรีขันธ์ - พบ “เต่ากระ” ขนาดใหญ่เพศเมีย ขึ้นที่หาดบางสะพาน เมืองประจวบคิรีขันธ์ ชาวประมงช่วยกันพาลงกลับท้องทะเล คาด อาจขึ้นมาดูทำเลในการวางไข่      
       เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 6 ก.ย. นายสมศักดิ์ อบเชย อาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเล ของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้รับแจ้งจาก นายวิโรจน์ เข็มโต ชาวประมงพื้นบ้าน หมู่ 1 บ้านดอนสำราญ ต.แม่รำพึง อ. บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ได้พบเต่ากระ ขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ชายหาดดอนสำราญในแอ่งน้ำ เนื่องจากน้ำทะเลลง และเกรงว่า จะถูกคนที่ผ่านไปมาจับไป
      
       นายสมศักดิ์ จึงได้เดินทางมาบริเวณชายหาดตามที่ได้รับแจ้งและได้พบเต่ากระ วัดขนาดความยาวได้ 98 ซม.กว้าง 80 ซม.นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “เต่ากระ ถือเป็นสัตว์คุ้มครอง และตัวนี้ก็น่าจะเป็นเต่าที่โตเต็มที่ เพราะมีขนาดใหญ่ เป็นเพศเมีย สันนิษฐานว่า อาจขึ้นมาดูทำเลในการวางไข่ก็เป็นได้”
      
       ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ประมงที่นี่พบเจอเป็นประจำ เพราะทะเลที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารมากมาย สัตว์คุ้มครองอย่าง เต่า หรือ ฉลามวาฬ จึงใช้เป็นที่อยู่ ที่กิน มาเนิ่นนาน แต่ก็ยังมีความกังวลว่าหากเราไม่ช่วยกันดูแลรักษาสัตว์อนุรักษ์คุ้มครองต่างๆ และเรื่องสิ่งแวดล้อมสัตว์เหล่านี้อาจสูญพันธุ์ได้ เด็กรุ่นหลังจะไม่ได้พบเจอง่ายๆแบบนี้ เพราะที่นี่ เท่าที่ผมรู้ จะมีโครงการอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพวกเหล็กมาตั้ง แต่ชาวบ้านเขาก็คัดค้านกัน
      
       โดยส่วนตัวผมก็เกรงว่า จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ทำให้สัตว์คุ้มครองเหล่านี้ย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย และอาชีพประมงชายฝั่งอย่างพวกผมก็คงหากินลำบากยิ่งขึ้น”
      
       อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มชาวบ้านอาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเล ของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ก็ได้รวบรวมขอมูลและภาพถ่ายการพบเต่าครั้งนี้ติดต่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงให้รับทราบต่อไป ตอนนี้ชาวประมงที่ทราบก็พากันมาดูและช่วยกัน นำเต่ากลับลงสู่ทะเลต่อไป
      
       ขณะเดียวกัน นายลิขิต บุญสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการทรัพยากรประมง สนง.ประมงจังหวัดประจวบฯ กล่าวว่า หลังจากทราบข้อมูลที่ทางกลุ่มอนุรักษ์ฯแจ้งมาแล้ว ซึ่งทราบว่าเป็นเต่าขนาดใหญ่ และตอนนี้ชาวประมงได้ช่วยกันนำเต่ากระ พากลับลงสู่ทะเลแล้ว
      
       อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้พบมีเต่ากระขึ้นวางไข่ บริเวณชายหาดเกาะทะลุ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังรอเวลาฟักตัวอีกหลายสิ่ง เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวบางสะพาน ได้เป็นอย่างดีดังนั้นหากชาวประมง พบเจอเต่าช่วงนี้ก็ขอให้แจ้งมาได้ตลอดเวลา และขอให้ช่วยกันดูแลเต่า ซึ่งเป็นสัตว์หายากโดยเฉพาะเต่ากระ

 
alt
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/

คลองอู่ตะเภาเกิดน้ำเน่า ปลาตายเกลื่อนกว่า ๔ กม.

วันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุน้ำในคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่ตัดผ่านตัวเมืองหาดใหญ่ เกิดเน่าเสียช่วงระหว่างสะพานหาดใหญ่ใน เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปจนถึงสะพานเหล็กบ้านท่าแซ ต.คลองอู่ตะเภา ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ส่งผลให้ปลาลอยตายเกลื่อนคลอง ทั้งปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลากด และปลาสวาย ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดพื้นเมืองที่ชาวบ้านสองฝั่งคลองอู่ตะเภาออกจับขายสร้างรายได้
      
       ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนได้พายเรือออกมาช้อนตักปลาที่ลอยคอหายใจอยู่บนผิวน้ำเพื่อนำไปกินซึ่งมีทั้งปลาขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยบางส่วนได้ลอยอืดส่งกลิ่นเน่าเหม็นติดกระชังผักบุ้งของชาวบ้านและแหหาปลา สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน
      
       ส่วนสาเหตุของน้ำเน่าเสีย คาดว่า น่าจะมาจากปริมาณน้ำในคลองลดลง และมีการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงคลอง ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ เจือละออง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เขต อ.หาดใหญ่ พร้อมแกนนำชาวบ้านคลองอู่ตะเภา ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาสาเหตุที่ทำให้น้ำเน่าเสียจนทำให้ปลาตาย และหาทางแก้ไข เนื่องจากยังคงมีปลาทยอยตายอย่างต่อเนื่อง


alt
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รักษ์ป่าชายเลน รักษ์โลก

ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติทั้งภายในประเทศ และในท้องถิ่นมีแนวโน้มถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น 
ในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม (ที่มนุษย์สร้างขึ้น) กลับเพิ่มมาแทนมากขึ้นเป็นลำดับ  ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  มีการประดิษฐ์และพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้อำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์เพิ่มมากขึ้น  ผลจากการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  ส่งผลกระทบต่อมนุษย์หลาย
ประการ เช่น ปัญหาการแปรปรวนของภูมิอากาศโลก  การร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติ  ภัยพิบัติมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น  มลพิษสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น  ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงอยู่ และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์  เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวทุกคนจึงต้องตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน  โดยศึกษาถึงลักษณะของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น  ตลอดจนแสวงหาแนวทางในการป้องกันเพื่อแก้ปัญหา

และเนื่องจากปัญหาในข้างต้น  ทางกลุ่มของเราจึงได้มีโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อร่วมกันช่วยลดสภาวะโลกร้อน  ซึ่งเราได้ไปปลูกป่าชายเลนกันที่ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลน จังหวัดสมุทรสงคราม



ซึ่งป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรง ของคลื่นลมชายฝั่ง ช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูล และสารพิษต่างๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝั่งและในทะเล
         ป่าชายเลนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการป่าไม้ การประมง
สิ่งแวดล้อม และยังเป็นสถานอนุบาลสัตว์ป่า เช่น ปูแสม  ปลาตีน  นกยาง  ลิงแสม  เป็นต้น


ในการทำกิจกรรมเราได้ออกเดินทางจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี  ในเวลา 12.30 น. และถึงศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลอกโคลนที่เวลา 13.30 น. อากาศค่อนข้างสบายไม่ร้อนมาก  เราจึงทำกิจกรรมกันสนุกสนานอย่างเต็มที่




และด้วยความยากลำบากในการเดินในโคลน  บวกกับด้วยความสนุกสนานของกลุ่มเพื่อนๆที่ไปทำกิจกรรมด้วยกัน  ผลจึงออกมาอย่างภาพข้างล่างนี้





ในวันที่เราไปทำกิจกรรมกัน  ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลนก็ได้มีผู้มาร่วมปลูกป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก  ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในกลุ่มเพื่อน  กลุ่มอนุรักษ์ต่างๆ  และในวันนั้นเราได้พบกันการถ่ายทำรายการ
เนวิเกเตอร์  ซึ่งพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์  ผลดี เป็นผู้ดำเนินรายการ  พร้อมกับกลุ่มแฟนคลับร่วมรายการ  เราจึงได้ไปขอเก็บภาพความประทับใจไว้ด้วย




และหลังจากที่เราได้ทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเสร็จสิ้นแล้ว  เราก็ได้ไปทำกิจกรรมเสริมเล็กๆน้อยๆ คือ
การเล่นสกีเรือหางยาว




ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย  หากเราทุกคนยังละเลยที่จะช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน  ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาภัยธรรมชาติหรือสภาพอากาศต่างๆที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น  ง่ายๆคือ ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติก
หรือใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างไม่สิ้นเปลือง  แค่นี้เราก็สามารถช่วยลดโลกร้อนได้แล้ว ,,

ช่วยกันลดโลกร้อนเพื่อโลกของเรานะคะ  ^^

เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเลเหนือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี


16 ส.ค. 54  เกิดเหตุน้ำมันรั่วออกจากแท่นขุดเจาะแห่งหนึ่งในทะเลเหนือ ซึ่งเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่เกิดขึ้นในน่านน้ำของอังกฤษ

บริษัทเชลล์ เปิดเผยว่า น้ำมันดิบประมาณ 216 ตัน รั่วไหลออกจากแท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองอเบอร์ดีน ริมชายฝั่งสกอตแลนด์ ไปทางทิศตะวันออก 180 กิโลเมตร  กระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของอังกฤษ ประเมินว่า เป็นปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่น่านน้ำของอังกฤษมากที่สุดในรอบ 10 ปี
นายเกลน แคลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของบริษัทเชลล์ แสดงความเสียใจต่อการรั่วไหล บริษัทเชลล์พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน  โดยปิดบ่อน้ำมันใต้ทะเลเมื่อวันพุธและอยู่ระหว่างการขจัดน้ำมันรั่วไหลหลังการปิดบ่อ  ซึ่งขณะนี้พบว่ามีน้ำมันรั่วไหลออกมาไม่ถึงวันละ 1 ตัน ส่วนคราบน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวทะเลเหลืออยู่ประมาณ 1 ตัน ครอบคลุมพื้นที่ 0.5 ตารางกิโลเมตร

บริษัทเชลล์และกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คาดว่าคราบน้ำมันจะถูกลมและคลื่นในทะเลพัดแตกสลายและไม่ลอยมาติดชายฝั่ง  อย่างไรก็ตาม กำลังดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการรั่วไหล

ทางด้านกลุ่มรณรงค์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า บริษัทเชลล์ไม่โปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา




           , สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

“ ป่าต้นน้ำชุมพร ” ด้านประจวบฯ ถูกนายทุนโค่นหนัก


ประจวบคีรีขันธ์ - ทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กองกำลังสุรสีห์ เดินเท้าลาดตระเวนเข้าไปยังผืนป่าต้นน้ำชั้น 1A ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจังหวัดชุมพร พบถูกคุกคามจากนายทุนอย่างหนักเมื่อมีการโค่นป่าชั้นในเพื่อหวังเอาพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นวงกว้าง เผยพบพื้นที่แห่งนี้ถูกบุกรุกไปแล้วหลายหมื่นไร่      
       วันที่ 9 ส.ค. พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 นำกำลังออกลาดตระเวนหลังมีข้อมูลว่า พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ บริเวณ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายทุนเข้าไปบุกรุกโค่นป่า จึงนำกำลังออกเดินเท้าลาดตระเวนในพิกัดพื้นที่ซึ่งได้รับแจ้ง โดยทหารพรานใช้เวลาเดินเท้าเข้าป่าลึกนานหลายชั่วโมงจนกระทั่งพบผืนป่าชั้นในซึ่งเป็นป่าต้นน้ำชั้น 1A ของจังหวัดชุมพร ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยา เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ กำลังถูกคุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากตรวจพบต้นไม้หวงห้าม ทั้งไม้ไข่เขียว ขนาดใหญ่ 3-4 คนโอบ ยาวประมาณ 10-20 เมตร อายุ 50-100 ปี ถูกโค่นอยู่กลางป่าลึกชั้นในหลายจุด รวมแล้วตรวจนับได้ 30 ท่อน ซึ่งยังไม่มีการแปรรูป
       
      
       นอกจากนั้น ในพื้นที่ใกล้เคียงยังพบพื้นที่อีก 2-3 ไร่ โดนเผาทำลายและเริ่มลงกล้ายางพารา และกาแฟ อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่พบการโค่นต้นไม้ ซึ่งทางทหารพรานได้จับพิกัดจีพีเอส และดูแผนที่ พบว่า จุดที่พบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 ฟุต และอยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่าประมาณ 10 กม. ซึ่งการเข้าตรวจสอบไม่พบตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีทหารเข้าไป
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าป่าที่ถูกโค่นชั้นในส่วนใหญ่เป็นนายทุนจากทางภาคใต้ ทั้งในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร และยังระบุด้วยว่ากลุ่มนายทุนพวกนี้จะใช้วิธีการโค่นต้นไม้ใหญ่กลางป่าลึกลงก่อน หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือน จะใช้ยาฆ่าหญ้า และจุดไฟเผาจนกระทั่งดูเหมือนป่าเสื่อมโทรม หลังจากนั้นจึงโค่นต้นไม้ที่เหลือ และลงมือปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ว่าจะเป็นยางพารา บางพื้นที่จะปลูกกาแฟ
      
       ซึ่งหากใช้วิธีการตรวจสภาพผืนป่าด้วยเฮลิคอปเตอร์จะไม่สามารถมองเห็นผืนป่าชั้นในที่ถูกโค่นและบุกรุก จึงต้องใช้การเดินเท้าลาดตระเวนเท่านั้น
      
       ด้าน นายชิน สุดพิมพ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านช่องลม และชาวบ้านช่องลม กล่าวว่าเดิมผืนป่าแถบนี้ในอดีตมีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งค่าง ชะนี เป็นจำนวนมากแต่หลังจากผืนป่าถูกบุรุกอย่างหนัก สัตว์ประเภทนี้ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลย ส่วนใหญ่นายทุนที่เข้ามากว๊านซื้อที่เหมาเป็นแปลงๆ10-30 ไร่ ราคาขายตั้งแต่ 50,000-100,000 ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นป่าสมบูรณ์หรือป่าที่มีการแผ้วถางแล้ว โดยกลุ่มผู้ลักลอบโค่นป่าจะทำกลางคืนในช่วงฤดูฝนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ผืนป่าแห่งนี้ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะกลุ่มนานทุนเข้ามาโค่นต้นไม้หวังเอาพื้นที่ปลูกยางพารา เห็นแล้วน่าใจหายมาก พวกนี้ใช้วิธีการโค่นป่าด้านในหรือที่เรียกกันว่าเจาะไข่แดง หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เข้มแข็งผมว่าป่าต้นน้ำสำคัญของจังหวัดชุมพร จะกลายเป็นสวนยางในอนาคต
      
       ขณะเดียวกัน นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาชาวบ้านบุกรุกเริ่มลดลงไปมากแล้ว แต่ปัญหากลุ่มนายทุนจากภาคใต้เข้ามาโค่นป่าชั้นในยังคงมีอยู่ ซึ่งหลายส่วนทั้งทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มีการสนธิกำลังออกลาดตระเวนตลอดเวลา พบว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ที่มีอยู่เกือบ 2 แสนไร่หลายปีถูกบุกรุกไปแล้วเกือบ 1 แสนไร่
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า ภายหลังเข้าตรวจและลงพิกัดแล้วได้แจ้งให้ทางนายวีระ ศรีวัฒนตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอำเภอบางสะพานน้อย ทหารชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ รับทราบ และเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อเข้าไปทำการตรวจสอบและบันทึก พร้อมเตรียมตีตรายึดไม้ทั้งหมด
      
       ขณะที่ นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย, นายไพโรจน์ ไกรทอง ปลัดอำเภอบางสะพานน้อย ฝ่ายความมั่นคง, พ.อ.ทนงศักดิ์ มหาวงค์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กรมทหารราบที่ 9, ทหารพรานที่ 1403 ,ตชด.14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ชาวบ้านและเด็กนักเรียนโรงเรียนมูลนิธิไทย ได้ร่วมกันทำพิธีบวชป่าและสาปแช่งผู้ที่เข้ามาโค่นป่า
      
       ด้าน นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ที่ผ่านมามีนโยนบายที่ชัดเจนในการที่จะช่วยกันปกป้องผืนป่า ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่เพราะเราตรวจสอบยึดคืนป่ามาหลายพันไร่ในขณะนี้ ซึ่งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานฯ กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือหลายปีพบมีข้อมูลบุกรุกซึ่งมีการจับดำเนินคดีต่อเนื่อง
      
       “ทราบว่าวันนี้ทหารพรานลาดตระเวนและตรวจยึดไม้ที่ถูกโค่นได้ประมาณ 30 ท่อน ซึ่งรายงานว่ามีการโค่นประมาณ 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ ตรวจสอบปริมาตรไม้ทั้งหมดที่ยึดไว้ และให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางสะพานน้อย เพื่อติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”
ที่มา :  http://www.manager.co.th/

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โลมาอิรวดี


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลาลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบลูกโลมาเพศเมียตายเพิ่มอีก 1 ตัวในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์และเป็นตัวที่ 6 ในรอบปีนี้

วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายอุทัย ยอดจันทร์ ประธานชมรมอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ได้รับการประสานจากชาวประมงพื้นบ้านว่า พบลูกโลมาอิรวดีตายอีก 1 ตัว ในพื้นที่ทำการประมงนอกเขตอนุรักษ์โลมาบ้านแหลมหาด ม.6 ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ ออกไป 3 กิโลเมตร

โดยชาวประมงได้ลากกลับเข้าฝั่งและพบว่าเป็นลูกโลมาเพศเมียความยาวประมาณ 1 เมตร ยังมีสายสะดือติดอยู่ที่ท้องคาดว่าเป็นลูกโลมาที่คลอดมาไม่เกิน 1 เดือน

นายผัน รอดชุม ชาวประมงกลุ่มอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด เปิดเผยว่า พบลูกโลมาตัวนี้ลอยตายอยู่ในทะเลสาบสงขลา โดยที่ตัวแม่โลมายังว่ายน้ำวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับซากลูกของมันด้วยความเป็นห่วง ส่วนสาเหตุการตายของลูกโลมาตัวนี้คาดว่าอาจจะติดอวนชาวประมง เนื่องจากตามลำตัวมีลักษณะของรอยรัด

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุนายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ ได้เดินทางไปนำซากลูกโลมาตัวนี้มาผ่าพิสูจน์หาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำไปใช้วางแผนในการอนุรักษ์

นายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ เผยว่า ลูกโลมาตัวนี้เป็นโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตัวที่ 6 ที่ตายในรอบปีนี้ หลังจากที่ผ่านมามีโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายไปแล้ว 13 ตัว ซึ่งสาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากติดเครื่องมือประมง

ทั้งนี้ จึงขอความร่วมมือชาวประมงในทะเลสาบสงขลาช่วยกันอนุรักษ์โลมาอิรวดี แม้ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ทำการวางทุ่นในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาตอนบนเนื้อที่ 100 ตารางกิโลเมตร เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงเขตที่อยู่ของโลมาอิรวดี ซึ่งจะทำให้โลมาอิรวดีปลอดภัยมากขึ้นแล้ว แต่อาจจะมีโลมาว่ายน้ำออกไปหากินนอกเขตอนุรักษ์ และมีความเสี่ยงที่จะไปติดเครื่องมือทำการประมงสูง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายอย่างต่อเนื่องและอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้

ที่มา : http://thairecent.com/Local/2011/918401/

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในอนาคต

1. โลกร้อนที่สุดในรอบ 400 ปี
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯได้สรุปแจ้งผลการทบทวนรายงานทางวิทยา ศาสตร์ภูมิอากาศต่อรัฐสภาว่า“อุณหภูมิของโลกเมื่อปี2549 ได้อุ่นขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 400 ปี และอาจจะนานเป็นเวลาหลายพันปีก็ได้ อันเป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้อุณหภูมิเฉลี่ยที่ผิวพื้นโลกในซีกโลกเหนือได้สูงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.5 °C”


2. ใจกลางโลกร้อนจัด
จากวารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ของสหรัฐฯรายงานว่านักธรณีวิทยาได้ ศึกษาเพื่อต้องการที่จะหาความรู้ว่าความร้อนภายในโลกที่เป็นต้นตอของเหตุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ ตลอดจนสนามแม่เหล็กโลก ถ่ายเทออกมาได้อย่างไร ซึ่ง“นายโรเบิร์ต แวน เดอ ฮิลสต์” กับคณะของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูแสตต์ในสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาบริเวณใต้ผิวโลกแถบอเมริกากลาง โดยการติดตามคลื่นที่เกิดเมื่อแผ่นดินไหว คลื่นนั้นเดินทางลึกลงไปใจกลางโลกเป็นระยะทางหลายพันกิโลฯ และได้อาศัยตรวจวัดอุณหภูมิภายในของโลกที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกและแกน จึงพบว่ามันมีอุณหภูมิสูงถึง 3,676 °C หรือร้อนระดับน้องๆของอุณหภูมิที่ผิวพื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งร้อนถึง 5,526 °C

3. 21ปีข้างหน้า เอเชียเตรียมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ
องค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพ อันเป็นหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า“โลกอาจจะร้อนขึ้นอีก 4 °C ในราวปี พ.ศ.2573 โดยเฉพาะทางแถบอันแห้งแล้งทางเหนือของปากีสถาน อินเดีย และจีน” ทางเดียวที่พอจะบรรเทาหรือป้องกันได้ ก็ด้วยรัฐบาลของชาติเหล่านี้ต้องลงมือขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก มาเสียตั้งแต่บัดนี้ นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว ยังจะถูกซ้ำเติมด้วยฝนตกที่ผิดปกติ รวมทั้งพายุหมุนเขตร้อนที่มีมากขึ้น ลมมรสุมรุนแรงจะก่อให้เกิดอุทกภัย ทำให้ประชาชนเรือนล้านต้องตกเป็นเหยื่อของโรคไข้จับสั่น ไข้ส่า และโรคติดต่ออื่นๆ นอกจากนี้ประชากร 1 ใน 10 ของภูมิภาคเอเชีย ที่อาศัยอยู่ตามบริเวณชายฝั่งและตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากที่สุด อาจจะต้องละทิ้งถิ่นฐาน เพราะน้ำทะเลล้นฝั่ง โดยจะเอ่อสูงขึ้นอีกราว 20 นิ้ว ในระยะเวลา 65 ปีข้างหน้า
ทางองค์การฯยังเชื่อว่าคงมีเพียงไม่กี่ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีแผน ปฏิบัติการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าหลายชาติไม่มีงบประมาณเพียงพอในการก่อสร้างเขื่อนกันน้ำทะเล เหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้จากสถิติประชากรเอเชีย ประเทศจีนมีประชากรอาศัยในแถบพื้นที่ลุ่มริมชายฝั่งทะเลมากที่สุด โดยมีราว 143 ล้านคน รองลงมาคือ อินเดีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น

4. ทวีปยุโรป..แชมป์เปี้ยนอุณหภูมิโลกร้อน และในอนาคตอาจจะไม่มีฤดูหนาว
จากรายงานการศึกษาของสำนักการศึกษาสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรปได้กล่าวคาดหมายว่า “เนื่องจากปรากฏการณ์อากาศที่อุ่นขึ้น(หรือร้อนขึ้น)ของโลกเป็นลำดับที่เป็น อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทวีปยุโรปอาจจะต้องเผชิญกับคลื่นอากาศร้อนและอุทกภัยถี่ขึ้นมากกว่า เดิมจนน้ำแข็งที่ปกคลุมตามยอดเขาแอลป์ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อาจจะละลายหาย หมดเกลี้ยงลงถึง 3 ใน 4 ภายในปี พ.ศ.2593”
จากการศึกษาฯยังได้พบว่าอุณหภูมิของอากาศในทวีปยุโรปได้เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย ในรอบ 100 ปีมานี้ สูงขึ้นอีก 1.7 °F และยังอาจจะเพิ่มสูงขึ้นในรอบศตวรรษนี้เป็นระหว่าง 3.6-11.3 °F ซึ่งถือว่าสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก นอกจากนี้ยังระบุว่าอุณหภูมิที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นของโลก อาจจะเป็นผลให้ทั่วทั้งทวีปยุโรปจะหมดสิ้นฤดูหนาวโดยสิ้นเชิงในราวปี พ.ศ.2603 และเมื่อถึงฤดูร้อนก็จะร้อนยิ่งขึ้น เกิดความแห้งแล้ง และปรากฏการณ์อย่างพายุลูกเห็บและฝนตกหนักก็จะเกิดขึ้นบ่อย


5. 89-91 ปี เกาหลีใต้จะกลายเป็นประเทศกึ่งร้อนในอนาคต
สำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้ อ้างแถลงการณ์ของศูนย์พยากรณ์อากาศของเกาหลีใต้ว่า“ผลการศึกษาบ่งชี้ถึงความ เป็นไปได้ที่พื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในประเทศ อาจขยายวงกว้างมากขึ้น ครอบคลุมกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศ และพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศภายในปี พ.ศ.2641-2643 จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 68 แห่ง ทำให้กลายเป็นประเทศกึ่งร้อน" นอกจากนี้ศูนย์ฯยังได้ทำนายว่า“อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้นราว 4 °C ภายในระยะ 70 ปีข้างหน้านี้”
คำว่า“ประเทศกึ่งร้อน” หมายถึง ประเทศที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่อเดือน สูงกว่า 10 °C เป็นเวลากว่า 8 เดือนใน 1 ปี และมีอุณหภูมิในเดือนที่หนาวเย็นที่สุด ต่ำกว่า 18 °C โดยเฉลี่ย

6. ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้บางลง หวั่นทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น
คณะนักวิจัยนานาชาติรายงานในวารสารวิทยาศาสตร์“ไซเอินซ์”ว่า“ธารน้ำแข็งบาง แห่งทางทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้กำลังละลายเร็วกว่าที่หิมะจะตกลงแทนที่ได้ ทัน และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” โดยจากการตรวจวัดธารน้ำแข็งที่ไหลลงทะเลอะมันด์เซ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก พบว่าธารน้ำแข็งเหล่านี้ละลายเร็วกว่าปีก่อนๆ และอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ นอกจากนี้ยังมีปริมาณน้ำแข็งมากกว่าที่คาดไว้ นักวิจัยระบุว่าธารน้ำแข็งที่ทะเลอะมันด์เซ่นมีน้ำแข็งมากพอจะทำให้ระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 1.3 เมตร จากการตรวจวัดพบว่าปริมาณน้ำแข็งเกินระดับความสมดุลอยู่ร้อยละ 60 ซึ่งมากพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 0.2 มม. มากกว่า 10% ของน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทั้งโลกประมาณ 1.8 มม./ปี
7. ชาวโลก 634 ล้านคน เตรียมรับเคราะห์จากภัยระดับน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง
จากวารสารวิชาการ“สิ่งแวดล้อม”รายงานว่า“ผู้คนที่จะได้รับเคราะห์จะเป็นผู้ ที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่ถึง 33 ฟุต ซึ่งเป็นชนชาติต่างๆไม่ต่ำกว่า 180 ชาติ ประมาณ 634 ล้านคน และมีเมืองใหญ่ของโลกมากถึง 2 ใน 3 ตกอยู่ในข่ายอันตรายนี้ด้วย เช่น โตเกียว(ญี่ปุ่น) นิวยอร์ก(สหรัฐฯ) มุมไบ(อินเดีย) เซี่ยงไฮ้(จีน) จาการ์ตา(อินโดฯ) และตาการ์(บังคลาเทศ) เป็นต้น”
การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้ระบุบริเวณที่ลุ่มริมฝั่งทะเล ซึ่งอาจได้รับอันตรายเนื่องจากเหตุโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่จะสูงขึ้น รายงานนี้ไม่ได้บอกช่วงเวลาที่อาจจะเกิดน้ำทะเลเอ่อท่วมดินแดนริมฝั่งแต่ละ ชาติไว้ แต่ได้กล่าวเตือนให้รู้ตัวว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะต้องใช้เงินมหาศาล เพราะจะต้องย้ายผู้คนออกเป็นจำนวนมาก และสร้างโครงสร้างทางวิศวกรรมที่สามารถป้องกันได้


8. สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์
นักวิชาการหลายชาติเชื่อว่าผลจากระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลง และน้ำทะเลเป็นกรด การไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรอาจเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกิดยุคน้ำแข็งย่อยๆในยุโรป และภาวะอากาศแปรปรวนในหลายพื้นที่ เป็นผลทำให้สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์จากการไม่มีที่อยู่

9.โรคระบาดมากขึ้น
โรคระบาดมักจะมาตามน้ำ อาจเกิดจากสัตว์หรือขยะ ในอนาคตอาจมีโรคระบาดใหม่มากขึ้น
ที่มา : http://tummachatsingwadlom.igetweb.com/index.php?mo=3&art=277246