วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

พบ “เต่ากระ” เพศเมียขนาดใหญ่ขึ้นที่หาดบางสะพาน คาดอาจขึ้นมาดูทำเลวางไข่

ประจวบคีรีขันธ์ - พบ “เต่ากระ” ขนาดใหญ่เพศเมีย ขึ้นที่หาดบางสะพาน เมืองประจวบคิรีขันธ์ ชาวประมงช่วยกันพาลงกลับท้องทะเล คาด อาจขึ้นมาดูทำเลในการวางไข่      
       เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 6 ก.ย. นายสมศักดิ์ อบเชย อาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเล ของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้รับแจ้งจาก นายวิโรจน์ เข็มโต ชาวประมงพื้นบ้าน หมู่ 1 บ้านดอนสำราญ ต.แม่รำพึง อ. บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ได้พบเต่ากระ ขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ชายหาดดอนสำราญในแอ่งน้ำ เนื่องจากน้ำทะเลลง และเกรงว่า จะถูกคนที่ผ่านไปมาจับไป
      
       นายสมศักดิ์ จึงได้เดินทางมาบริเวณชายหาดตามที่ได้รับแจ้งและได้พบเต่ากระ วัดขนาดความยาวได้ 98 ซม.กว้าง 80 ซม.นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “เต่ากระ ถือเป็นสัตว์คุ้มครอง และตัวนี้ก็น่าจะเป็นเต่าที่โตเต็มที่ เพราะมีขนาดใหญ่ เป็นเพศเมีย สันนิษฐานว่า อาจขึ้นมาดูทำเลในการวางไข่ก็เป็นได้”
      
       ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ประมงที่นี่พบเจอเป็นประจำ เพราะทะเลที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารมากมาย สัตว์คุ้มครองอย่าง เต่า หรือ ฉลามวาฬ จึงใช้เป็นที่อยู่ ที่กิน มาเนิ่นนาน แต่ก็ยังมีความกังวลว่าหากเราไม่ช่วยกันดูแลรักษาสัตว์อนุรักษ์คุ้มครองต่างๆ และเรื่องสิ่งแวดล้อมสัตว์เหล่านี้อาจสูญพันธุ์ได้ เด็กรุ่นหลังจะไม่ได้พบเจอง่ายๆแบบนี้ เพราะที่นี่ เท่าที่ผมรู้ จะมีโครงการอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพวกเหล็กมาตั้ง แต่ชาวบ้านเขาก็คัดค้านกัน
      
       โดยส่วนตัวผมก็เกรงว่า จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ทำให้สัตว์คุ้มครองเหล่านี้ย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย และอาชีพประมงชายฝั่งอย่างพวกผมก็คงหากินลำบากยิ่งขึ้น”
      
       อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มชาวบ้านอาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเล ของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ก็ได้รวบรวมขอมูลและภาพถ่ายการพบเต่าครั้งนี้ติดต่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงให้รับทราบต่อไป ตอนนี้ชาวประมงที่ทราบก็พากันมาดูและช่วยกัน นำเต่ากลับลงสู่ทะเลต่อไป
      
       ขณะเดียวกัน นายลิขิต บุญสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการทรัพยากรประมง สนง.ประมงจังหวัดประจวบฯ กล่าวว่า หลังจากทราบข้อมูลที่ทางกลุ่มอนุรักษ์ฯแจ้งมาแล้ว ซึ่งทราบว่าเป็นเต่าขนาดใหญ่ และตอนนี้ชาวประมงได้ช่วยกันนำเต่ากระ พากลับลงสู่ทะเลแล้ว
      
       อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้พบมีเต่ากระขึ้นวางไข่ บริเวณชายหาดเกาะทะลุ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังรอเวลาฟักตัวอีกหลายสิ่ง เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวบางสะพาน ได้เป็นอย่างดีดังนั้นหากชาวประมง พบเจอเต่าช่วงนี้ก็ขอให้แจ้งมาได้ตลอดเวลา และขอให้ช่วยกันดูแลเต่า ซึ่งเป็นสัตว์หายากโดยเฉพาะเต่ากระ

 
alt
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/

คลองอู่ตะเภาเกิดน้ำเน่า ปลาตายเกลื่อนกว่า ๔ กม.

วันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุน้ำในคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่ตัดผ่านตัวเมืองหาดใหญ่ เกิดเน่าเสียช่วงระหว่างสะพานหาดใหญ่ใน เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปจนถึงสะพานเหล็กบ้านท่าแซ ต.คลองอู่ตะเภา ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ส่งผลให้ปลาลอยตายเกลื่อนคลอง ทั้งปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลากด และปลาสวาย ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดพื้นเมืองที่ชาวบ้านสองฝั่งคลองอู่ตะเภาออกจับขายสร้างรายได้
      
       ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนได้พายเรือออกมาช้อนตักปลาที่ลอยคอหายใจอยู่บนผิวน้ำเพื่อนำไปกินซึ่งมีทั้งปลาขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยบางส่วนได้ลอยอืดส่งกลิ่นเน่าเหม็นติดกระชังผักบุ้งของชาวบ้านและแหหาปลา สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน
      
       ส่วนสาเหตุของน้ำเน่าเสีย คาดว่า น่าจะมาจากปริมาณน้ำในคลองลดลง และมีการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงคลอง ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ เจือละออง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เขต อ.หาดใหญ่ พร้อมแกนนำชาวบ้านคลองอู่ตะเภา ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาสาเหตุที่ทำให้น้ำเน่าเสียจนทำให้ปลาตาย และหาทางแก้ไข เนื่องจากยังคงมีปลาทยอยตายอย่างต่อเนื่อง


alt
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รักษ์ป่าชายเลน รักษ์โลก

ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติทั้งภายในประเทศ และในท้องถิ่นมีแนวโน้มถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น 
ในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม (ที่มนุษย์สร้างขึ้น) กลับเพิ่มมาแทนมากขึ้นเป็นลำดับ  ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  มีการประดิษฐ์และพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้อำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์เพิ่มมากขึ้น  ผลจากการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  ส่งผลกระทบต่อมนุษย์หลาย
ประการ เช่น ปัญหาการแปรปรวนของภูมิอากาศโลก  การร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติ  ภัยพิบัติมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น  มลพิษสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น  ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงอยู่ และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์  เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวทุกคนจึงต้องตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน  โดยศึกษาถึงลักษณะของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น  ตลอดจนแสวงหาแนวทางในการป้องกันเพื่อแก้ปัญหา

และเนื่องจากปัญหาในข้างต้น  ทางกลุ่มของเราจึงได้มีโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อร่วมกันช่วยลดสภาวะโลกร้อน  ซึ่งเราได้ไปปลูกป่าชายเลนกันที่ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลน จังหวัดสมุทรสงคราม



ซึ่งป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรง ของคลื่นลมชายฝั่ง ช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูล และสารพิษต่างๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝั่งและในทะเล
         ป่าชายเลนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการป่าไม้ การประมง
สิ่งแวดล้อม และยังเป็นสถานอนุบาลสัตว์ป่า เช่น ปูแสม  ปลาตีน  นกยาง  ลิงแสม  เป็นต้น


ในการทำกิจกรรมเราได้ออกเดินทางจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี  ในเวลา 12.30 น. และถึงศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลอกโคลนที่เวลา 13.30 น. อากาศค่อนข้างสบายไม่ร้อนมาก  เราจึงทำกิจกรรมกันสนุกสนานอย่างเต็มที่




และด้วยความยากลำบากในการเดินในโคลน  บวกกับด้วยความสนุกสนานของกลุ่มเพื่อนๆที่ไปทำกิจกรรมด้วยกัน  ผลจึงออกมาอย่างภาพข้างล่างนี้





ในวันที่เราไปทำกิจกรรมกัน  ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลนก็ได้มีผู้มาร่วมปลูกป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก  ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในกลุ่มเพื่อน  กลุ่มอนุรักษ์ต่างๆ  และในวันนั้นเราได้พบกันการถ่ายทำรายการ
เนวิเกเตอร์  ซึ่งพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์  ผลดี เป็นผู้ดำเนินรายการ  พร้อมกับกลุ่มแฟนคลับร่วมรายการ  เราจึงได้ไปขอเก็บภาพความประทับใจไว้ด้วย




และหลังจากที่เราได้ทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเสร็จสิ้นแล้ว  เราก็ได้ไปทำกิจกรรมเสริมเล็กๆน้อยๆ คือ
การเล่นสกีเรือหางยาว




ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย  หากเราทุกคนยังละเลยที่จะช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน  ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาภัยธรรมชาติหรือสภาพอากาศต่างๆที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น  ง่ายๆคือ ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติก
หรือใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างไม่สิ้นเปลือง  แค่นี้เราก็สามารถช่วยลดโลกร้อนได้แล้ว ,,

ช่วยกันลดโลกร้อนเพื่อโลกของเรานะคะ  ^^

เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเลเหนือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี


16 ส.ค. 54  เกิดเหตุน้ำมันรั่วออกจากแท่นขุดเจาะแห่งหนึ่งในทะเลเหนือ ซึ่งเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่เกิดขึ้นในน่านน้ำของอังกฤษ

บริษัทเชลล์ เปิดเผยว่า น้ำมันดิบประมาณ 216 ตัน รั่วไหลออกจากแท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองอเบอร์ดีน ริมชายฝั่งสกอตแลนด์ ไปทางทิศตะวันออก 180 กิโลเมตร  กระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของอังกฤษ ประเมินว่า เป็นปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่น่านน้ำของอังกฤษมากที่สุดในรอบ 10 ปี
นายเกลน แคลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของบริษัทเชลล์ แสดงความเสียใจต่อการรั่วไหล บริษัทเชลล์พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน  โดยปิดบ่อน้ำมันใต้ทะเลเมื่อวันพุธและอยู่ระหว่างการขจัดน้ำมันรั่วไหลหลังการปิดบ่อ  ซึ่งขณะนี้พบว่ามีน้ำมันรั่วไหลออกมาไม่ถึงวันละ 1 ตัน ส่วนคราบน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวทะเลเหลืออยู่ประมาณ 1 ตัน ครอบคลุมพื้นที่ 0.5 ตารางกิโลเมตร

บริษัทเชลล์และกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คาดว่าคราบน้ำมันจะถูกลมและคลื่นในทะเลพัดแตกสลายและไม่ลอยมาติดชายฝั่ง  อย่างไรก็ตาม กำลังดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการรั่วไหล

ทางด้านกลุ่มรณรงค์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า บริษัทเชลล์ไม่โปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา




           , สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

“ ป่าต้นน้ำชุมพร ” ด้านประจวบฯ ถูกนายทุนโค่นหนัก


ประจวบคีรีขันธ์ - ทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กองกำลังสุรสีห์ เดินเท้าลาดตระเวนเข้าไปยังผืนป่าต้นน้ำชั้น 1A ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจังหวัดชุมพร พบถูกคุกคามจากนายทุนอย่างหนักเมื่อมีการโค่นป่าชั้นในเพื่อหวังเอาพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นวงกว้าง เผยพบพื้นที่แห่งนี้ถูกบุกรุกไปแล้วหลายหมื่นไร่      
       วันที่ 9 ส.ค. พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 นำกำลังออกลาดตระเวนหลังมีข้อมูลว่า พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ บริเวณ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายทุนเข้าไปบุกรุกโค่นป่า จึงนำกำลังออกเดินเท้าลาดตระเวนในพิกัดพื้นที่ซึ่งได้รับแจ้ง โดยทหารพรานใช้เวลาเดินเท้าเข้าป่าลึกนานหลายชั่วโมงจนกระทั่งพบผืนป่าชั้นในซึ่งเป็นป่าต้นน้ำชั้น 1A ของจังหวัดชุมพร ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยา เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ กำลังถูกคุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากตรวจพบต้นไม้หวงห้าม ทั้งไม้ไข่เขียว ขนาดใหญ่ 3-4 คนโอบ ยาวประมาณ 10-20 เมตร อายุ 50-100 ปี ถูกโค่นอยู่กลางป่าลึกชั้นในหลายจุด รวมแล้วตรวจนับได้ 30 ท่อน ซึ่งยังไม่มีการแปรรูป
       
      
       นอกจากนั้น ในพื้นที่ใกล้เคียงยังพบพื้นที่อีก 2-3 ไร่ โดนเผาทำลายและเริ่มลงกล้ายางพารา และกาแฟ อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่พบการโค่นต้นไม้ ซึ่งทางทหารพรานได้จับพิกัดจีพีเอส และดูแผนที่ พบว่า จุดที่พบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 ฟุต และอยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่าประมาณ 10 กม. ซึ่งการเข้าตรวจสอบไม่พบตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีทหารเข้าไป
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าป่าที่ถูกโค่นชั้นในส่วนใหญ่เป็นนายทุนจากทางภาคใต้ ทั้งในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร และยังระบุด้วยว่ากลุ่มนายทุนพวกนี้จะใช้วิธีการโค่นต้นไม้ใหญ่กลางป่าลึกลงก่อน หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือน จะใช้ยาฆ่าหญ้า และจุดไฟเผาจนกระทั่งดูเหมือนป่าเสื่อมโทรม หลังจากนั้นจึงโค่นต้นไม้ที่เหลือ และลงมือปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ว่าจะเป็นยางพารา บางพื้นที่จะปลูกกาแฟ
      
       ซึ่งหากใช้วิธีการตรวจสภาพผืนป่าด้วยเฮลิคอปเตอร์จะไม่สามารถมองเห็นผืนป่าชั้นในที่ถูกโค่นและบุกรุก จึงต้องใช้การเดินเท้าลาดตระเวนเท่านั้น
      
       ด้าน นายชิน สุดพิมพ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านช่องลม และชาวบ้านช่องลม กล่าวว่าเดิมผืนป่าแถบนี้ในอดีตมีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งค่าง ชะนี เป็นจำนวนมากแต่หลังจากผืนป่าถูกบุรุกอย่างหนัก สัตว์ประเภทนี้ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลย ส่วนใหญ่นายทุนที่เข้ามากว๊านซื้อที่เหมาเป็นแปลงๆ10-30 ไร่ ราคาขายตั้งแต่ 50,000-100,000 ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นป่าสมบูรณ์หรือป่าที่มีการแผ้วถางแล้ว โดยกลุ่มผู้ลักลอบโค่นป่าจะทำกลางคืนในช่วงฤดูฝนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ผืนป่าแห่งนี้ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะกลุ่มนานทุนเข้ามาโค่นต้นไม้หวังเอาพื้นที่ปลูกยางพารา เห็นแล้วน่าใจหายมาก พวกนี้ใช้วิธีการโค่นป่าด้านในหรือที่เรียกกันว่าเจาะไข่แดง หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เข้มแข็งผมว่าป่าต้นน้ำสำคัญของจังหวัดชุมพร จะกลายเป็นสวนยางในอนาคต
      
       ขณะเดียวกัน นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาชาวบ้านบุกรุกเริ่มลดลงไปมากแล้ว แต่ปัญหากลุ่มนายทุนจากภาคใต้เข้ามาโค่นป่าชั้นในยังคงมีอยู่ ซึ่งหลายส่วนทั้งทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มีการสนธิกำลังออกลาดตระเวนตลอดเวลา พบว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ที่มีอยู่เกือบ 2 แสนไร่หลายปีถูกบุกรุกไปแล้วเกือบ 1 แสนไร่
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า ภายหลังเข้าตรวจและลงพิกัดแล้วได้แจ้งให้ทางนายวีระ ศรีวัฒนตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอำเภอบางสะพานน้อย ทหารชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ รับทราบ และเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อเข้าไปทำการตรวจสอบและบันทึก พร้อมเตรียมตีตรายึดไม้ทั้งหมด
      
       ขณะที่ นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย, นายไพโรจน์ ไกรทอง ปลัดอำเภอบางสะพานน้อย ฝ่ายความมั่นคง, พ.อ.ทนงศักดิ์ มหาวงค์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กรมทหารราบที่ 9, ทหารพรานที่ 1403 ,ตชด.14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ชาวบ้านและเด็กนักเรียนโรงเรียนมูลนิธิไทย ได้ร่วมกันทำพิธีบวชป่าและสาปแช่งผู้ที่เข้ามาโค่นป่า
      
       ด้าน นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ที่ผ่านมามีนโยนบายที่ชัดเจนในการที่จะช่วยกันปกป้องผืนป่า ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่เพราะเราตรวจสอบยึดคืนป่ามาหลายพันไร่ในขณะนี้ ซึ่งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานฯ กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือหลายปีพบมีข้อมูลบุกรุกซึ่งมีการจับดำเนินคดีต่อเนื่อง
      
       “ทราบว่าวันนี้ทหารพรานลาดตระเวนและตรวจยึดไม้ที่ถูกโค่นได้ประมาณ 30 ท่อน ซึ่งรายงานว่ามีการโค่นประมาณ 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ ตรวจสอบปริมาตรไม้ทั้งหมดที่ยึดไว้ และให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางสะพานน้อย เพื่อติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”
ที่มา :  http://www.manager.co.th/

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โลมาอิรวดี


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลาลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบลูกโลมาเพศเมียตายเพิ่มอีก 1 ตัวในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์และเป็นตัวที่ 6 ในรอบปีนี้

วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายอุทัย ยอดจันทร์ ประธานชมรมอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ได้รับการประสานจากชาวประมงพื้นบ้านว่า พบลูกโลมาอิรวดีตายอีก 1 ตัว ในพื้นที่ทำการประมงนอกเขตอนุรักษ์โลมาบ้านแหลมหาด ม.6 ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ ออกไป 3 กิโลเมตร

โดยชาวประมงได้ลากกลับเข้าฝั่งและพบว่าเป็นลูกโลมาเพศเมียความยาวประมาณ 1 เมตร ยังมีสายสะดือติดอยู่ที่ท้องคาดว่าเป็นลูกโลมาที่คลอดมาไม่เกิน 1 เดือน

นายผัน รอดชุม ชาวประมงกลุ่มอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด เปิดเผยว่า พบลูกโลมาตัวนี้ลอยตายอยู่ในทะเลสาบสงขลา โดยที่ตัวแม่โลมายังว่ายน้ำวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับซากลูกของมันด้วยความเป็นห่วง ส่วนสาเหตุการตายของลูกโลมาตัวนี้คาดว่าอาจจะติดอวนชาวประมง เนื่องจากตามลำตัวมีลักษณะของรอยรัด

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุนายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ ได้เดินทางไปนำซากลูกโลมาตัวนี้มาผ่าพิสูจน์หาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำไปใช้วางแผนในการอนุรักษ์

นายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ เผยว่า ลูกโลมาตัวนี้เป็นโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตัวที่ 6 ที่ตายในรอบปีนี้ หลังจากที่ผ่านมามีโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายไปแล้ว 13 ตัว ซึ่งสาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากติดเครื่องมือประมง

ทั้งนี้ จึงขอความร่วมมือชาวประมงในทะเลสาบสงขลาช่วยกันอนุรักษ์โลมาอิรวดี แม้ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ทำการวางทุ่นในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาตอนบนเนื้อที่ 100 ตารางกิโลเมตร เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงเขตที่อยู่ของโลมาอิรวดี ซึ่งจะทำให้โลมาอิรวดีปลอดภัยมากขึ้นแล้ว แต่อาจจะมีโลมาว่ายน้ำออกไปหากินนอกเขตอนุรักษ์ และมีความเสี่ยงที่จะไปติดเครื่องมือทำการประมงสูง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายอย่างต่อเนื่องและอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้

ที่มา : http://thairecent.com/Local/2011/918401/

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในอนาคต

1. โลกร้อนที่สุดในรอบ 400 ปี
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯได้สรุปแจ้งผลการทบทวนรายงานทางวิทยา ศาสตร์ภูมิอากาศต่อรัฐสภาว่า“อุณหภูมิของโลกเมื่อปี2549 ได้อุ่นขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 400 ปี และอาจจะนานเป็นเวลาหลายพันปีก็ได้ อันเป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้อุณหภูมิเฉลี่ยที่ผิวพื้นโลกในซีกโลกเหนือได้สูงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.5 °C”


2. ใจกลางโลกร้อนจัด
จากวารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ของสหรัฐฯรายงานว่านักธรณีวิทยาได้ ศึกษาเพื่อต้องการที่จะหาความรู้ว่าความร้อนภายในโลกที่เป็นต้นตอของเหตุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ ตลอดจนสนามแม่เหล็กโลก ถ่ายเทออกมาได้อย่างไร ซึ่ง“นายโรเบิร์ต แวน เดอ ฮิลสต์” กับคณะของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูแสตต์ในสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาบริเวณใต้ผิวโลกแถบอเมริกากลาง โดยการติดตามคลื่นที่เกิดเมื่อแผ่นดินไหว คลื่นนั้นเดินทางลึกลงไปใจกลางโลกเป็นระยะทางหลายพันกิโลฯ และได้อาศัยตรวจวัดอุณหภูมิภายในของโลกที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกและแกน จึงพบว่ามันมีอุณหภูมิสูงถึง 3,676 °C หรือร้อนระดับน้องๆของอุณหภูมิที่ผิวพื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งร้อนถึง 5,526 °C

3. 21ปีข้างหน้า เอเชียเตรียมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ
องค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพ อันเป็นหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า“โลกอาจจะร้อนขึ้นอีก 4 °C ในราวปี พ.ศ.2573 โดยเฉพาะทางแถบอันแห้งแล้งทางเหนือของปากีสถาน อินเดีย และจีน” ทางเดียวที่พอจะบรรเทาหรือป้องกันได้ ก็ด้วยรัฐบาลของชาติเหล่านี้ต้องลงมือขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก มาเสียตั้งแต่บัดนี้ นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว ยังจะถูกซ้ำเติมด้วยฝนตกที่ผิดปกติ รวมทั้งพายุหมุนเขตร้อนที่มีมากขึ้น ลมมรสุมรุนแรงจะก่อให้เกิดอุทกภัย ทำให้ประชาชนเรือนล้านต้องตกเป็นเหยื่อของโรคไข้จับสั่น ไข้ส่า และโรคติดต่ออื่นๆ นอกจากนี้ประชากร 1 ใน 10 ของภูมิภาคเอเชีย ที่อาศัยอยู่ตามบริเวณชายฝั่งและตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากที่สุด อาจจะต้องละทิ้งถิ่นฐาน เพราะน้ำทะเลล้นฝั่ง โดยจะเอ่อสูงขึ้นอีกราว 20 นิ้ว ในระยะเวลา 65 ปีข้างหน้า
ทางองค์การฯยังเชื่อว่าคงมีเพียงไม่กี่ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีแผน ปฏิบัติการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าหลายชาติไม่มีงบประมาณเพียงพอในการก่อสร้างเขื่อนกันน้ำทะเล เหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้จากสถิติประชากรเอเชีย ประเทศจีนมีประชากรอาศัยในแถบพื้นที่ลุ่มริมชายฝั่งทะเลมากที่สุด โดยมีราว 143 ล้านคน รองลงมาคือ อินเดีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น

4. ทวีปยุโรป..แชมป์เปี้ยนอุณหภูมิโลกร้อน และในอนาคตอาจจะไม่มีฤดูหนาว
จากรายงานการศึกษาของสำนักการศึกษาสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรปได้กล่าวคาดหมายว่า “เนื่องจากปรากฏการณ์อากาศที่อุ่นขึ้น(หรือร้อนขึ้น)ของโลกเป็นลำดับที่เป็น อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทวีปยุโรปอาจจะต้องเผชิญกับคลื่นอากาศร้อนและอุทกภัยถี่ขึ้นมากกว่า เดิมจนน้ำแข็งที่ปกคลุมตามยอดเขาแอลป์ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อาจจะละลายหาย หมดเกลี้ยงลงถึง 3 ใน 4 ภายในปี พ.ศ.2593”
จากการศึกษาฯยังได้พบว่าอุณหภูมิของอากาศในทวีปยุโรปได้เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย ในรอบ 100 ปีมานี้ สูงขึ้นอีก 1.7 °F และยังอาจจะเพิ่มสูงขึ้นในรอบศตวรรษนี้เป็นระหว่าง 3.6-11.3 °F ซึ่งถือว่าสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก นอกจากนี้ยังระบุว่าอุณหภูมิที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นของโลก อาจจะเป็นผลให้ทั่วทั้งทวีปยุโรปจะหมดสิ้นฤดูหนาวโดยสิ้นเชิงในราวปี พ.ศ.2603 และเมื่อถึงฤดูร้อนก็จะร้อนยิ่งขึ้น เกิดความแห้งแล้ง และปรากฏการณ์อย่างพายุลูกเห็บและฝนตกหนักก็จะเกิดขึ้นบ่อย


5. 89-91 ปี เกาหลีใต้จะกลายเป็นประเทศกึ่งร้อนในอนาคต
สำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้ อ้างแถลงการณ์ของศูนย์พยากรณ์อากาศของเกาหลีใต้ว่า“ผลการศึกษาบ่งชี้ถึงความ เป็นไปได้ที่พื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในประเทศ อาจขยายวงกว้างมากขึ้น ครอบคลุมกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศ และพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศภายในปี พ.ศ.2641-2643 จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 68 แห่ง ทำให้กลายเป็นประเทศกึ่งร้อน" นอกจากนี้ศูนย์ฯยังได้ทำนายว่า“อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้นราว 4 °C ภายในระยะ 70 ปีข้างหน้านี้”
คำว่า“ประเทศกึ่งร้อน” หมายถึง ประเทศที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่อเดือน สูงกว่า 10 °C เป็นเวลากว่า 8 เดือนใน 1 ปี และมีอุณหภูมิในเดือนที่หนาวเย็นที่สุด ต่ำกว่า 18 °C โดยเฉลี่ย

6. ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้บางลง หวั่นทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น
คณะนักวิจัยนานาชาติรายงานในวารสารวิทยาศาสตร์“ไซเอินซ์”ว่า“ธารน้ำแข็งบาง แห่งทางทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้กำลังละลายเร็วกว่าที่หิมะจะตกลงแทนที่ได้ ทัน และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” โดยจากการตรวจวัดธารน้ำแข็งที่ไหลลงทะเลอะมันด์เซ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก พบว่าธารน้ำแข็งเหล่านี้ละลายเร็วกว่าปีก่อนๆ และอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ นอกจากนี้ยังมีปริมาณน้ำแข็งมากกว่าที่คาดไว้ นักวิจัยระบุว่าธารน้ำแข็งที่ทะเลอะมันด์เซ่นมีน้ำแข็งมากพอจะทำให้ระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 1.3 เมตร จากการตรวจวัดพบว่าปริมาณน้ำแข็งเกินระดับความสมดุลอยู่ร้อยละ 60 ซึ่งมากพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 0.2 มม. มากกว่า 10% ของน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทั้งโลกประมาณ 1.8 มม./ปี
7. ชาวโลก 634 ล้านคน เตรียมรับเคราะห์จากภัยระดับน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง
จากวารสารวิชาการ“สิ่งแวดล้อม”รายงานว่า“ผู้คนที่จะได้รับเคราะห์จะเป็นผู้ ที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่ถึง 33 ฟุต ซึ่งเป็นชนชาติต่างๆไม่ต่ำกว่า 180 ชาติ ประมาณ 634 ล้านคน และมีเมืองใหญ่ของโลกมากถึง 2 ใน 3 ตกอยู่ในข่ายอันตรายนี้ด้วย เช่น โตเกียว(ญี่ปุ่น) นิวยอร์ก(สหรัฐฯ) มุมไบ(อินเดีย) เซี่ยงไฮ้(จีน) จาการ์ตา(อินโดฯ) และตาการ์(บังคลาเทศ) เป็นต้น”
การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้ระบุบริเวณที่ลุ่มริมฝั่งทะเล ซึ่งอาจได้รับอันตรายเนื่องจากเหตุโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่จะสูงขึ้น รายงานนี้ไม่ได้บอกช่วงเวลาที่อาจจะเกิดน้ำทะเลเอ่อท่วมดินแดนริมฝั่งแต่ละ ชาติไว้ แต่ได้กล่าวเตือนให้รู้ตัวว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะต้องใช้เงินมหาศาล เพราะจะต้องย้ายผู้คนออกเป็นจำนวนมาก และสร้างโครงสร้างทางวิศวกรรมที่สามารถป้องกันได้


8. สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์
นักวิชาการหลายชาติเชื่อว่าผลจากระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลง และน้ำทะเลเป็นกรด การไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรอาจเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกิดยุคน้ำแข็งย่อยๆในยุโรป และภาวะอากาศแปรปรวนในหลายพื้นที่ เป็นผลทำให้สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์จากการไม่มีที่อยู่

9.โรคระบาดมากขึ้น
โรคระบาดมักจะมาตามน้ำ อาจเกิดจากสัตว์หรือขยะ ในอนาคตอาจมีโรคระบาดใหม่มากขึ้น
ที่มา : http://tummachatsingwadlom.igetweb.com/index.php?mo=3&art=277246

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ภูเขาไฟระเบิด ที่ ไอซ์แลนด์ กับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ สวยสยอง



        Eyjafjallajökull volcano ภูเขาไฟ ไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล ในประเทศไอซ์แลนด์ ที่หลับไหลอยู่ใต้ธารน้ำแข็งไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล เกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2553 สร้างความปั่นป่วนให้แก่ สายการบินที่จะมุ่งหน้าสู่ยุโรป ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การบินโลก แต่ wowboom คงจะขอข้ามเรื่องนี้ไป แต่จะขอเสนอในแง่มุมสวยสยอง

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ภูเขาไฟระเบิด ร่วมกับ ฟ้าผ่า       ในการระเบิดของภูเขาไฟไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล(ชื่อมันจะยาวไปไหน ของมันเนี้ย) เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2010 ได้เกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาต Volcanic Lightning ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติปริศนา ที่เกิดร่วมระหว่าง ภูเขาไฟระเบิด และพายุสายฟ้า และยังเป็นอีก 1 ปริศนาทางธรรมชาติที่ยังหาคำตอบมิได้


เถ้าภูเขาไฟสีดำทมึน ลาวาสีแดงฉาน และสายฟ้าสีคราม ช่างเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ สวยสยอง เสียเหลือเกิน


อีกหนึ่งภาพที่สายฟ้าผากลางเถ้าถ่านภูเขาไฟ ตัดกับฉากหลังสีแดงเพลิง อันเกิดจากแสงสะท้อนของธารลาวา


ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ภูเขาไฟระเบิด ร่วมกับ แสงเหนือ        ในการระเบิดของภูเขาไฟไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เกิดปรากฏการณ์ Volcanic Lightning ขึ้นเท่านั้น มันยังก่อให้เกิดปรากกฏการณ์ธรรมชาติ แสงเหนือ(ออโรรา) ขึ้นบนท้องฟ้าอีก หนึ่งปรากฏการณ์ สุดสวย


ในวันที่ 22 เมษายน 2552 วันนั้นเป็นวันที่มีเมฆบางๆ อยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟ ไอยาฟยาพลาเยอร์คูดุล


การระเบิดของภูเขาไฟในวันนี้ก็ไม่รุนแรงมาก ลาวา และเถ้าถ่านก็ถูกพ่อนออกมาในบริเวรที่เบาบาง แต่ต่ำลงมาก


และวันนี้ก็พลันเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ แสงเหนือ(ออโรลา) ขึ้นเหนือการระเบิดของภูเขาไฟ
ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ภูเขาไฟระเบิด ร่วมกับ เถ้าถ่าน และควัน
ควันจากการระเบิดของภูเขาไฟ รูปโดนัท


เนื่องจากมีรายงานในช่วงปี 1983 - 2000 เครื่งอยนต์เครื่องบินที่เกิดการดับลงเนื่องด้วย ดูดเถ้าภูเขาไฟเข้าไปทำให้ต้องมีการระงับเที่ยวบินทั้งหมดที่จะบินเข้า ยุโรป ลงเพื่อความปลอดภัย ทำให้มีผู้โดยสารเครื่องบินนับล้านตกค้าง นับว่าเป็นวิกฤตกาลทางการบินครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ครั้งหนึ่ง


เป็นภาพที่ถ่ายโดยดาวเทียม Terra เมื่อเวลา 11:39 ในวันที่ 15 เมษายน 2553 จะเห็นว่าภูเขาไฟอยู่ทางขวามือบน และเถ้าถ่าน และควัน (เส้นตรงเฉียงจากบนลงล่างสีน้ำตาลอ่อน) ถูกพัดมาไกลถึงทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ
ข้อมูลอ้างอิง
  • http://news.nationalgeographic.com/news/2010/04/photogalleries/100419-iceland-volcano-lightning-ash-pictures/#iceland-volcano-lightning-1_19113_600x450.jpg
  • http://www.dailymail.co.uk/news/worldnews/article-1268225/Iceland-volcano-Northern-Lights-appear-ash-plume.html
  • http://www.telegraph.co.uk/earth/earthpicturegalleries/7498695/Iceland-volcano-eruption-volcanic-activity-in-the-land-of-fire-and-ice.html?image=11
  • http://www.boston.com/bigpicture/2010/04/icelands_disruptive_volcano.html









วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทะเลกรด ภัยเงียบจากโลกร้อน

แนวปะการังทั่วโลก กำลังเจอกับศัตรูถึง 2 ด้าน ปัญหาเดิมก็คือภาวะโลกร้อน ทำให้ปะการังฟอกขาวล้มตายไปแล้วกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

แต่ที่น่าวิตกกว่า และกำลังเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกก็คือแนวปะการัง กำลังเจอกับภาวะทะเลกรด ร้ายกว่าโลกร้อนเพราะอาจทำให้ปะการังถึงขั้นสูญพันธุ์

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านปะการัง ของออสเตรเลีย บอกว่า ตอนนี้ภาวะทะเลกรด เกี่ยวกันอย่างไรกับปัญหาโลกร้อน

ต้องโทษตัวการสำคัญ ก็คือบรรดากาซพิษจากเผาไหม้โดยฝีมือมนุษย์ 48 เปอร์เซ็นต์ของกาซพวกนี้ ไม่ได้อยู่ในอากาศเท่านั้น แต่ละลายลงไปอยู่ในน้ำ ปัญหาก็คือ 98 เปอร์เซ็นต์ของน้ำบนโลกใบนี้อยู่ในมหาสมุทร กาซพิษทำให้น้ำมีความเป็นกรดมากขึ้น หมายความว่า ปะการังจะมีสภาพอ่อนแอลงจนไม่สามารถจะก่อตัวหรือคงรูปร่างเป็นแนวปราการได้อีก

สิ่งที่นักสิ่งแวดล้อมเป็นห่วงก็คือ ภาวะทะเลกรด จะทำให้ปริมาณสัตว์น้ำ และแนวปะการังลดลงรวดเร็วขึ้นและอาจสูญพันธุ์ในที่สุด

ทะเลกรดเกิดขึ้นในง่ายในน้ำตื้น หมายถึงทะเลไทยยังเป็นพื้นที่เสี่ยงเพราะความลึกเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ถึง 40 เมตรเท่านั้น

แต่ต้องถือว่าประเทศไทยโชคดีที่สุดในเวลานี้ เพราะมีข่าวดี ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ฟื้นตัวแล้วถึง 5 เปอร์เซ็นต์

หลังจากมีการปิดจุดดำน้ำบางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง ในฝั่งทะเลอันดามัน ที่มีปัญหาปะการังฟอกขาว ผ่านไปเพียง 26 วัน ปรากฏว่าปะการังที่ฟอกขาวมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วขึ้น ตอนนี้บางพื้นที่ปะการังงอกใหม่ถึง 2 เซนติเมตรซึ่งนักสิ่งแวดล้อมบอกว่า เป็นแนวโน้มที่ดีมาก ๆ

เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งเป็นทะเลเปิด มีสามารถหมุนเวียนน้ำเสีย ออกสู่มหาสมุทรอินเดียได้อย่างรวดเร็ว จึงช่วยให้การเติบโตและฟื้นตัวของปะการังฟอกขาว ดีกว่าปะการังในฝั่งอ่าวไทย

แต่ปะการังฝั่งอันดามัน ก็ต้องใช้เวลาฟื้นตัวเต็มที่อีก 5 ถึง 6 ปี และช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ จะเข้าสู่ฤดูการปิดอุทยานแห่งชาติฝั่งอันดามันในฤดูมรสุมจะเป็นอีกโอกาส ที่ปะการังจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

ต้องเอาใจช่วยให้ปะการังของไทยฟื้นตัวเร็วขึ้น ทันกับเวลาที่องค์การยูเนสโก จะประกาศให้อุทยานทางทะเลทั้ง 18 แห่ง เป็นมรดกโลกทางทะเล

global_weather@ch7.com

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มหิดลเผยผลสำรวจน้ำแข็งขั้วโลกละลาย หวั่นน้ำท่วมรุนแรง

มหิดลเผยผลสำรวจ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หวั่นน้ำท่วมรุนแรง



มหิดลเผยปัญหาวิกฤติโลกร้อนเริ่มเห็นชัดขึ้น หลังพบก้อนน้ำแข็งขั้วโลกใต้ขนาดมหึมา 2 ก้อนเกิดการแยกตัวเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ด้านนักวิทยาศาสตร์ชี้มีความเป็นไปได้สูงเกิดน้ำท่วมรุนแรง

ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน เกิดจากการใช้พลังงาน กิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น โดยส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้น 0.7 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก กำลังวิตกว่าหากอุณหภูมิสูงขึ้น 2-5 องศาเซลเซียสจะส่งผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลาย ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นจะมีปริมาตรน้ำเพิ่มถึง 3 ล้านล้านลูกบาศก์กิโลเมตร หมายความว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นอีกประมาณ 200 ฟุต ซึ่งผลกระทบที่ไทยจะได้รับเต็มๆ คือชายฝั่งทะเลของไทยจะถอยร่นไปอยู่แถวจ.ลำปาง จ.อุดรธานี บุรีรัมย์
ดร.จิรพล กล่าวว่า เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมามีธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ขนาด 3,200 ตารางกิโลเมตรที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองลอนดอน 2 เท่าหลุดออกจากปลายแหลม และยังไม่รู้ว่าจะลอยลงทะเลหรือจะไปปิดบล็อกช่องทางที่มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมาก้อนน้ำแข็งขนาด 120 กิโลเมตรที่ชื่อ B15A ก็หลุดแตกออกมาอีก ขณะนี้ดาวเทียมทุกดวงกำลังจับตาก้อนน้ำแข็งมหึมาทั้ง 2 ก้อนนี้อย่างไม่คลาดสายตา เพราะสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยวิตกกังวลกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า โดยเชื่อว่าอย่างช้าไม่เกิน 3 ปีจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทั้งมีบางประเทศที่ได้รับผลกระทบแล้ว เช่น แถบยุโรป พบว่าธารน้ำแข็งเริ่มละลายและหดตัว เอเชียใต้มีภาวะน้ำท่วมรุนแรง เป็นต้น ในเวทีสิ่งแวดล้อม จะหยิบประเด็นปัญหานี้มาเปิดเผยและให้ประชาชนทั้งประเทศรับทราบ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องในบ้านเมืองจะได้รับรู้ถึงปัญหา เพื่อเตรียมหาแนวทางการป้องกัน ดร.จิรพล กล่าว

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ไม่รู้ไม่ได้

วันคุ้มครองโลก หรือเอิร์ธเดย์ (Earth Day) เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา หัวข้อสิ่งแวดล้อมที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจะเป็นห่วงเป็นใยมากที่สุด คือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน

นิตยสารไทม์ ฉบับประจำวันที่ 3 เมษายน ได้พาดหัวข่าวว่า "ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่พวกเราต้องกังวลกันให้มากๆ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาในอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังคืบคลานเข้ามาทำลายโลกสีน้ำเงินใบนี้อยู่ทุกขณะ"

รูปธรรมสำคัญต่อภาวะโลกร้อน และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพากันกังวลมากที่สุดก็คือ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังละลายอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา

ศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยการสำรวจขั้วโลกเหนือด้วยดาวเทียมสำรวจขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ พบว่าน้ำแข็งในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม และอุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดาวเทียมของนาซาได้เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2002 แสดงให้เห็นถึงฤดูใบไม้ร่วงอันเป็นช่วงน้ำแข็งละลายที่คืบคลานมาเร็วผิดปกติในแถบไซบีเรียเหนือและอลาสกา

เท็ด สคัมโบส จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดชี้ว่า การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสัญญาณที่ระบุได้ชัดเจนก็คืออุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบทศวรรษนี้

สภาวะโลกร้อนได้ทำให้ปริมาณทะเลน้ำแข็งที่ละลายมีมากขึ้นผิดปกติ จนทำให้เหลือแผ่นน้ำแข็งปกคลุมบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกน้อยมากที่สุดในรอบ 100 ปี

หรือพูดง่ายๆ ก็คือแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือมีขนาดเล็กที่สุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมของเกาะกรีนแลนด์ ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อปีกลายเกาะน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ละลายน้ำแข็งออกมากลายเป็นน้ำทะเลด้วยปริมาณถึง 220 ลูกบาศก์กิโลเมตร มากกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วละลายออกมาแค่ 90 ลูกบาศก์กิโลเมตร น้ำ 1 ลูกบาศก์กิโลเมตรมีปริมาณเท่ากับน้ำ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร (ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมกันเท่ากับ 5 ลูกบาศก์กิโลเมตรเท่านั้น)

เมื่อปีที่แล้วน้ำทะเลมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งเฉพาะเกาะกรีนแลนด์ถึง 220 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า หากน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น 7 เมตร กลืนกินชายฝั่งรัฐฟลอริดา และประเทศบังกลาเทศที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเกือบหมด

ส่วนทางด้านขั้วโลกใต้ หรือทวีปแอนตาร์กติกา ทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ-ชิลี ได้พบว่า ธารน้ำแข็งเป็นจำนวนมากในทางตะวันตกของแอนตาร์กติกาหายไปมากกว่า 60%

นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซาได้คำนวณว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งในตอนนี้ยังเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ธารน้ำแข็งมีศักยภาพเพียงพอที่จะเพิ่มระดับน้ำทะเลของโลกให้มากขึ้นกว่า 1 เมตร แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร

กรุงเทพมหานครของเรา ใครๆ ก็รู้ว่าอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึงเมตร บางพื้นที่ก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเสียอีก และหากน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและน้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปแอนตาร์กติกาบนขั้วโลกใต้พร้อมใจกันละลาย ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นมากกว่า 65 เมตร

กรุงเทพฯคงอยู่ได้เฉพาะบนตึกระฟ้าสูง 20 ชั้นขึ้นไป

เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่เชื่อว่า โอกาสที่น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายขนาดนั้นจะเกิดขึ้นได้

แต่ทุกวันนี้ในประเทศอาร์เจนติน่า บริเวณส่วนที่ใกล้กับขั้วโลกใต้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งใหม่ เมื่อบรรดานักท่องท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกแห่กันมาเฝ้าชมการพังทลายของธารน้ำแข็ง "ไวท์ ไจแอนท์" แห่งอาร์เจนตินา ที่ก่อตัวมาหลายพันปีนี้กำลังจะละลายลงอย่างช้าๆ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาชิ้นนี้พังทลายลง ย่อมเป็นสัญญาณที่เชื่อมถึงภาวการณ์โลกร้อนที่กำลังวิกฤตขึ้นทุกขณะ

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญเรื่องภาวะโลกร้อน ได้อธิบายให้อย่างน่าฟังว่า น้ำแข็งมีความสำคัญกับระบบนิเวศวิทยาอย่างมากโดยทำหน้าที่คล้าย "ป่า" ในเขตหนาว

หากเปรียบว่าป่าเสมือนฟองน้ำที่คอยอุ้มน้ำ แล้วค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมา "น้ำแข็ง" ก็เป็นเสมือนฟองน้ำที่ชะลอการไหลบ่าของกระแสน้ำ และเมื่อถึงหน้าร้อนน้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำไหลไปรวมเป็นลำธาร และแม่น้ำหล่อเลี้ยงสายต่างๆ หล่อเลี้ยงผู้คนทั่วโลก

แม่น้ำโขงก็มีต้นกำเนิดส่วนหนึ่งมาจากน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัย ที่ละลายตัวเองออกมากลายเป็นสายน้ำโขง ก่อนจะมารวมกับน้ำจากลำธารต่างๆ ที่มีต้นกำเนิดมาจากป่าดิบ

อย่างไรก็ดี ดร.อานนท์บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ น้ำแข็งของโลกที่ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ น้ำแข็งขั้วโลก น้ำแข็งบนยอดเขา และน้ำแข็งในทะเล เกิดปรากฏการณ์น้ำแข็งละลายมากผิดปกติ โดยน้ำแข็งมีการแตกตัวเป็นก้อนเล็กๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนก้อนเล็กๆ ที่มีอยู่เดิมก็หายไป ขณะที่น้ำแข็งบนยอดเขาก็ละลายเพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตได้ชัดจากการเก็บภาพถ่ายมาเปรียบเทียบ และน้ำแข็งในทะเลก็บางลง แม้กระทั่งยอดเขาเอเวอเรสต์ก็มีรายงานว่า หิมะและน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามแนวเขาลดน้อยลงทุกขณะ

ระดับน้ำทะเลจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนแก่พื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วโลก อุณหภูมิของกระแสน้ำในมหาสมุทร ความชื้นในอากาศและการไหลเวียนของอากาศโลก เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมดุลกัน

ทุกวันนี้หากถามว่าใครคือผู้ร้ายที่ทำให้โลกร้อนขึ้น คำตอบก็คือก๊าซคาร์บอนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากผืนโลกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศนั้นเป็นตัวป้องกันไม่ให้รังสีจากดวงอาทิตย์ผ่านทะลุออกนอกโลกไปได้ เฉกเช่นเดียวกับเราอยู่ในรถหรือเรือนกระจกที่ความร้อนไม่อาจระบายออกไปได้ ดังนั้นจึงเรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า "เรือนกระจก" ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบทั้งทางด้านอากาศและอุณหภูมิโดยรวมทั่วโลก เป็นเหตุให้อากาศร้อนขึ้น จนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

และไม่ค่อยมีคนรู้ว่าพื้นผิวของน้ำแข็งขั้วโลกทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์กลับสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 90% ขณะที่น้ำในมหาสมุทรกลับดูดเอาความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ถึง 90% เช่นกัน

หรือพูดง่ายๆ ว่า ยิ่งโลกมีพื้นผิวน้ำแข็งน้อยลงเท่าใด โลกก็ร้อนมากขึ้น เพราะน้ำแข็งสะท้อนความร้อนออกสู่นอกโลกได้ดีกว่าน้ำทะเล

แต่ถามว่ามนุษย์ปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลกเมื่อใด

คงทราบดีว่าเมื่อประมาณร้อยปีก่อน เมื่อมีการค้นพบน้ำมันเป็นครั้งแรกในโลก จนถึงทุกวันนี้ที่น้ำมันเบนซินลิตรละเกือบ 30 บาท เราก็ยังแย่งกันซื้อ จนน้ำมันขาดแคลน

Science วารสารวิชาการชื่อดังของโลก ได้ทำนายว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้เราอาจจะได้เห็นน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 6 เมตร เพราะความหายนะมักมาเยือนเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก



www.palungjit.com ที่มา