วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รักษ์ป่าชายเลน รักษ์โลก

ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติทั้งภายในประเทศ และในท้องถิ่นมีแนวโน้มถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น 
ในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม (ที่มนุษย์สร้างขึ้น) กลับเพิ่มมาแทนมากขึ้นเป็นลำดับ  ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  มีการประดิษฐ์และพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้อำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์เพิ่มมากขึ้น  ผลจากการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  ส่งผลกระทบต่อมนุษย์หลาย
ประการ เช่น ปัญหาการแปรปรวนของภูมิอากาศโลก  การร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติ  ภัยพิบัติมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น  มลพิษสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น  ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงอยู่ และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์  เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวทุกคนจึงต้องตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน  โดยศึกษาถึงลักษณะของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น  ตลอดจนแสวงหาแนวทางในการป้องกันเพื่อแก้ปัญหา

และเนื่องจากปัญหาในข้างต้น  ทางกลุ่มของเราจึงได้มีโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อร่วมกันช่วยลดสภาวะโลกร้อน  ซึ่งเราได้ไปปลูกป่าชายเลนกันที่ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลน จังหวัดสมุทรสงคราม



ซึ่งป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรง ของคลื่นลมชายฝั่ง ช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูล และสารพิษต่างๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝั่งและในทะเล
         ป่าชายเลนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการป่าไม้ การประมง
สิ่งแวดล้อม และยังเป็นสถานอนุบาลสัตว์ป่า เช่น ปูแสม  ปลาตีน  นกยาง  ลิงแสม  เป็นต้น


ในการทำกิจกรรมเราได้ออกเดินทางจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี  ในเวลา 12.30 น. และถึงศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลอกโคลนที่เวลา 13.30 น. อากาศค่อนข้างสบายไม่ร้อนมาก  เราจึงทำกิจกรรมกันสนุกสนานอย่างเต็มที่




และด้วยความยากลำบากในการเดินในโคลน  บวกกับด้วยความสนุกสนานของกลุ่มเพื่อนๆที่ไปทำกิจกรรมด้วยกัน  ผลจึงออกมาอย่างภาพข้างล่างนี้





ในวันที่เราไปทำกิจกรรมกัน  ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลนก็ได้มีผู้มาร่วมปลูกป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก  ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในกลุ่มเพื่อน  กลุ่มอนุรักษ์ต่างๆ  และในวันนั้นเราได้พบกันการถ่ายทำรายการ
เนวิเกเตอร์  ซึ่งพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์  ผลดี เป็นผู้ดำเนินรายการ  พร้อมกับกลุ่มแฟนคลับร่วมรายการ  เราจึงได้ไปขอเก็บภาพความประทับใจไว้ด้วย




และหลังจากที่เราได้ทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเสร็จสิ้นแล้ว  เราก็ได้ไปทำกิจกรรมเสริมเล็กๆน้อยๆ คือ
การเล่นสกีเรือหางยาว




ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย  หากเราทุกคนยังละเลยที่จะช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน  ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาภัยธรรมชาติหรือสภาพอากาศต่างๆที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น  ง่ายๆคือ ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติก
หรือใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างไม่สิ้นเปลือง  แค่นี้เราก็สามารถช่วยลดโลกร้อนได้แล้ว ,,

ช่วยกันลดโลกร้อนเพื่อโลกของเรานะคะ  ^^

เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเลเหนือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี


16 ส.ค. 54  เกิดเหตุน้ำมันรั่วออกจากแท่นขุดเจาะแห่งหนึ่งในทะเลเหนือ ซึ่งเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่เกิดขึ้นในน่านน้ำของอังกฤษ

บริษัทเชลล์ เปิดเผยว่า น้ำมันดิบประมาณ 216 ตัน รั่วไหลออกจากแท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองอเบอร์ดีน ริมชายฝั่งสกอตแลนด์ ไปทางทิศตะวันออก 180 กิโลเมตร  กระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของอังกฤษ ประเมินว่า เป็นปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่น่านน้ำของอังกฤษมากที่สุดในรอบ 10 ปี
นายเกลน แคลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของบริษัทเชลล์ แสดงความเสียใจต่อการรั่วไหล บริษัทเชลล์พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน  โดยปิดบ่อน้ำมันใต้ทะเลเมื่อวันพุธและอยู่ระหว่างการขจัดน้ำมันรั่วไหลหลังการปิดบ่อ  ซึ่งขณะนี้พบว่ามีน้ำมันรั่วไหลออกมาไม่ถึงวันละ 1 ตัน ส่วนคราบน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวทะเลเหลืออยู่ประมาณ 1 ตัน ครอบคลุมพื้นที่ 0.5 ตารางกิโลเมตร

บริษัทเชลล์และกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คาดว่าคราบน้ำมันจะถูกลมและคลื่นในทะเลพัดแตกสลายและไม่ลอยมาติดชายฝั่ง  อย่างไรก็ตาม กำลังดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการรั่วไหล

ทางด้านกลุ่มรณรงค์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า บริษัทเชลล์ไม่โปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แท่นขุดเจาะแกนเนท อัลฟา




           , สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

“ ป่าต้นน้ำชุมพร ” ด้านประจวบฯ ถูกนายทุนโค่นหนัก


ประจวบคีรีขันธ์ - ทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กองกำลังสุรสีห์ เดินเท้าลาดตระเวนเข้าไปยังผืนป่าต้นน้ำชั้น 1A ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจังหวัดชุมพร พบถูกคุกคามจากนายทุนอย่างหนักเมื่อมีการโค่นป่าชั้นในเพื่อหวังเอาพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นวงกว้าง เผยพบพื้นที่แห่งนี้ถูกบุกรุกไปแล้วหลายหมื่นไร่      
       วันที่ 9 ส.ค. พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 นำกำลังออกลาดตระเวนหลังมีข้อมูลว่า พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ บริเวณ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายทุนเข้าไปบุกรุกโค่นป่า จึงนำกำลังออกเดินเท้าลาดตระเวนในพิกัดพื้นที่ซึ่งได้รับแจ้ง โดยทหารพรานใช้เวลาเดินเท้าเข้าป่าลึกนานหลายชั่วโมงจนกระทั่งพบผืนป่าชั้นในซึ่งเป็นป่าต้นน้ำชั้น 1A ของจังหวัดชุมพร ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยา เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ กำลังถูกคุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากตรวจพบต้นไม้หวงห้าม ทั้งไม้ไข่เขียว ขนาดใหญ่ 3-4 คนโอบ ยาวประมาณ 10-20 เมตร อายุ 50-100 ปี ถูกโค่นอยู่กลางป่าลึกชั้นในหลายจุด รวมแล้วตรวจนับได้ 30 ท่อน ซึ่งยังไม่มีการแปรรูป
       
      
       นอกจากนั้น ในพื้นที่ใกล้เคียงยังพบพื้นที่อีก 2-3 ไร่ โดนเผาทำลายและเริ่มลงกล้ายางพารา และกาแฟ อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่พบการโค่นต้นไม้ ซึ่งทางทหารพรานได้จับพิกัดจีพีเอส และดูแผนที่ พบว่า จุดที่พบอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 ฟุต และอยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่าประมาณ 10 กม. ซึ่งการเข้าตรวจสอบไม่พบตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีทหารเข้าไป
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าป่าที่ถูกโค่นชั้นในส่วนใหญ่เป็นนายทุนจากทางภาคใต้ ทั้งในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร และยังระบุด้วยว่ากลุ่มนายทุนพวกนี้จะใช้วิธีการโค่นต้นไม้ใหญ่กลางป่าลึกลงก่อน หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือน จะใช้ยาฆ่าหญ้า และจุดไฟเผาจนกระทั่งดูเหมือนป่าเสื่อมโทรม หลังจากนั้นจึงโค่นต้นไม้ที่เหลือ และลงมือปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ว่าจะเป็นยางพารา บางพื้นที่จะปลูกกาแฟ
      
       ซึ่งหากใช้วิธีการตรวจสภาพผืนป่าด้วยเฮลิคอปเตอร์จะไม่สามารถมองเห็นผืนป่าชั้นในที่ถูกโค่นและบุกรุก จึงต้องใช้การเดินเท้าลาดตระเวนเท่านั้น
      
       ด้าน นายชิน สุดพิมพ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านช่องลม และชาวบ้านช่องลม กล่าวว่าเดิมผืนป่าแถบนี้ในอดีตมีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งค่าง ชะนี เป็นจำนวนมากแต่หลังจากผืนป่าถูกบุรุกอย่างหนัก สัตว์ประเภทนี้ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลย ส่วนใหญ่นายทุนที่เข้ามากว๊านซื้อที่เหมาเป็นแปลงๆ10-30 ไร่ ราคาขายตั้งแต่ 50,000-100,000 ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นป่าสมบูรณ์หรือป่าที่มีการแผ้วถางแล้ว โดยกลุ่มผู้ลักลอบโค่นป่าจะทำกลางคืนในช่วงฤดูฝนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจพบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ผืนป่าแห่งนี้ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะกลุ่มนานทุนเข้ามาโค่นต้นไม้หวังเอาพื้นที่ปลูกยางพารา เห็นแล้วน่าใจหายมาก พวกนี้ใช้วิธีการโค่นป่าด้านในหรือที่เรียกกันว่าเจาะไข่แดง หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เข้มแข็งผมว่าป่าต้นน้ำสำคัญของจังหวัดชุมพร จะกลายเป็นสวนยางในอนาคต
      
       ขณะเดียวกัน นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาชาวบ้านบุกรุกเริ่มลดลงไปมากแล้ว แต่ปัญหากลุ่มนายทุนจากภาคใต้เข้ามาโค่นป่าชั้นในยังคงมีอยู่ ซึ่งหลายส่วนทั้งทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มีการสนธิกำลังออกลาดตระเวนตลอดเวลา พบว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ที่มีอยู่เกือบ 2 แสนไร่หลายปีถูกบุกรุกไปแล้วเกือบ 1 แสนไร่
      
       พ.ต.เฉลิมพล คุปตะวาทิน ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1403 บ้านคีรีล้อม กล่าวว่า ภายหลังเข้าตรวจและลงพิกัดแล้วได้แจ้งให้ทางนายวีระ ศรีวัฒนตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอำเภอบางสะพานน้อย ทหารชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ตำรวจตระเวนชายที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ รับทราบ และเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อเข้าไปทำการตรวจสอบและบันทึก พร้อมเตรียมตีตรายึดไม้ทั้งหมด
      
       ขณะที่ นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอบางสะพานน้อย, นายไพโรจน์ ไกรทอง ปลัดอำเภอบางสะพานน้อย ฝ่ายความมั่นคง, พ.อ.ทนงศักดิ์ มหาวงค์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กรมทหารราบที่ 9, ทหารพรานที่ 1403 ,ตชด.14 ค่ายพระมงกุฎเกล้า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ชาวบ้านและเด็กนักเรียนโรงเรียนมูลนิธิไทย ได้ร่วมกันทำพิธีบวชป่าและสาปแช่งผู้ที่เข้ามาโค่นป่า
      
       ด้าน นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ที่ผ่านมามีนโยนบายที่ชัดเจนในการที่จะช่วยกันปกป้องผืนป่า ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่เพราะเราตรวจสอบยึดคืนป่ามาหลายพันไร่ในขณะนี้ ซึ่งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานฯ กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือหลายปีพบมีข้อมูลบุกรุกซึ่งมีการจับดำเนินคดีต่อเนื่อง
      
       “ทราบว่าวันนี้ทหารพรานลาดตระเวนและตรวจยึดไม้ที่ถูกโค่นได้ประมาณ 30 ท่อน ซึ่งรายงานว่ามีการโค่นประมาณ 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ ตรวจสอบปริมาตรไม้ทั้งหมดที่ยึดไว้ และให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางสะพานน้อย เพื่อติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”
ที่มา :  http://www.manager.co.th/

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โลมาอิรวดี


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลาลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบลูกโลมาเพศเมียตายเพิ่มอีก 1 ตัวในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์และเป็นตัวที่ 6 ในรอบปีนี้

วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายอุทัย ยอดจันทร์ ประธานชมรมอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ได้รับการประสานจากชาวประมงพื้นบ้านว่า พบลูกโลมาอิรวดีตายอีก 1 ตัว ในพื้นที่ทำการประมงนอกเขตอนุรักษ์โลมาบ้านแหลมหาด ม.6 ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ ออกไป 3 กิโลเมตร

โดยชาวประมงได้ลากกลับเข้าฝั่งและพบว่าเป็นลูกโลมาเพศเมียความยาวประมาณ 1 เมตร ยังมีสายสะดือติดอยู่ที่ท้องคาดว่าเป็นลูกโลมาที่คลอดมาไม่เกิน 1 เดือน

นายผัน รอดชุม ชาวประมงกลุ่มอนุรักษ์โลมาอิรวดีบ้านแหลมหาด เปิดเผยว่า พบลูกโลมาตัวนี้ลอยตายอยู่ในทะเลสาบสงขลา โดยที่ตัวแม่โลมายังว่ายน้ำวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับซากลูกของมันด้วยความเป็นห่วง ส่วนสาเหตุการตายของลูกโลมาตัวนี้คาดว่าอาจจะติดอวนชาวประมง เนื่องจากตามลำตัวมีลักษณะของรอยรัด

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุนายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยฯ ได้เดินทางไปนำซากลูกโลมาตัวนี้มาผ่าพิสูจน์หาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำไปใช้วางแผนในการอนุรักษ์

นายสันติ นิลวัตน์ นักวิชาการประมงชำนาญการ เผยว่า ลูกโลมาตัวนี้เป็นโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตัวที่ 6 ที่ตายในรอบปีนี้ หลังจากที่ผ่านมามีโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายไปแล้ว 13 ตัว ซึ่งสาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากติดเครื่องมือประมง

ทั้งนี้ จึงขอความร่วมมือชาวประมงในทะเลสาบสงขลาช่วยกันอนุรักษ์โลมาอิรวดี แม้ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ทำการวางทุ่นในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาตอนบนเนื้อที่ 100 ตารางกิโลเมตร เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงเขตที่อยู่ของโลมาอิรวดี ซึ่งจะทำให้โลมาอิรวดีปลอดภัยมากขึ้นแล้ว แต่อาจจะมีโลมาว่ายน้ำออกไปหากินนอกเขตอนุรักษ์ และมีความเสี่ยงที่จะไปติดเครื่องมือทำการประมงสูง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตายอย่างต่อเนื่องและอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้

ที่มา : http://thairecent.com/Local/2011/918401/